เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o มี.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ วันนี้วันพระ วันพระ วันโกน ชาวพุทธเราแสวงหาบุญกุศล ทำไมต้องแสวงหาบุญกุศล เพราะบุญกุศลเราเต็มหัวใจของเราอยู่แล้วทำไมต้องแสวงหา คำว่า แสวงหาๆ” นะ

เราปลูกต้นไม้ เวลาต้นไม้เวลามันแล้ง เวลามันแห้งมันเฉามันตายไป พวกฆราวาส พระเราไปทำดอกจันทน์ ทำดอกจันทน์เพื่อรดน้ำต้นไม้ ถ้ามันได้รับน้ำก็เหมือนมันฟื้นฟูขึ้นมา มันแตกใบอ่อน มันไม่ตาย นี่พูดถึงเวลาถ้าได้รดน้ำพรวนดิน ต้นไม้มันเจริญงอกงาม

หัวใจของเราก็เหมือนกันๆ ถ้าหัวใจของเรา คนเรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา ถ้ามีศรัทธาความเชื่อของเรา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนานะ ตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรานับถือพระพุทธศาสนา

เวลานับถือพระพุทธศาสนา ถ้าพ่อแม่เป็นธรรม พ่อแม่ปู่ย่าตายายในบ้านเป็นธรรม ลูกเต้ามีความอบอุ่น ถ้าพ่อแม่เราลำเอียง ทุกคนมันจะไม่มีความสุข ถ้าไม่มีความสุข เห็นไหม

พ่อแม่ปู่ย่าตายายนับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องทำตามหน้าที่ หน้าที่ของพ่อแม่ปู่ย่าตายายก็ทำหน้าที่ของท่าน เราเป็นเด็กเป็นน้อยเราก็ทำหน้าที่ของเรา ทำหน้าที่ของเรา เรามีการศึกษา เราแสวงหา เราหางานทำของเรา

ถ้าเราหางานทำของเรา เรายืนโดยตัวของเราเองได้ เวลาพ่อแม่มีความสุขๆ ก็เพราะลูกประสบความสำเร็จ ถ้าประสบความสำเร็จ ประสบความสำเร็จทางอะไร ประสบความสำเร็จมีหน้าที่การงาน

ถ้ามีหน้าที่การงาน ถ้าลูกเต้ามีความสุข พ่อแม่ก็มีความสุขไปด้วย เวลาพ่อแม่ปู่ย่าตายายเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าลูกหลานมันเป็นธรรมๆ เป็นธรรมมันดูมันแล เด็กกตัญญู เด็กกตัญญูเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ถ้าเขาทำของเขาได้ เขาทำของเขาได้เพราะจิตใจเขาเป็นธรรมไง เวลาเขาเป็นธรรมเขาทำแล้วเขาชื่นใจของเขา มันอบอุ่นของเขา อยู่ในบ้านกอดกันแล้วก็มีความสุขๆ เห็นไหม นี่ไง รดน้ำพรวนดินๆ

แต่ถ้ามันไม่รดน้ำพรวนดิน พระพุทธศาสนาเรามีของเราอยู่แล้ว ทำไมต้องขวนขวายของเราๆ คนที่ไปวัดไปวาคนที่มีปัญหา เราเป็นคนที่มีบุญกุศล เราจะอยู่ที่ไหนก็ได้...อยู่ด้วยความแห้งแล้ง อยู่ด้วยความแห้งแล้งนะ เดี๋ยวมันก็เฉา เดี๋ยวมันก็เฉา เดี๋ยวมันก็เหงา เดี๋ยวมันก็หงอย

นี่ไง วันนี้วันพระ วันพระ ดูสิ พระเรามาลงอุโบสถๆ แม้แต่พระเรายังต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา การลงอุโบสถคือการสวดปาฏิโมกข์ การบอกธรรมและวินัยๆ

พระในสมัยพุทธกาล พระได้ภาษาบาลี เวลาสิ่งใดข้อไหนผิดเขาสะกิดกันไว้ พอเสร็จแล้วเขาจะปลงอาบัติๆ

ในปัจจุบันนี้เราปลงอาบัติกันก่อน ปลงอาบัติเสร็จแล้วเราลงปาฏิโมกข์กัน เราลงปาฏิโมกข์กันเพื่อความตื่นตัว เพราะการตรวจสอบในความผิดพลาดของเราเพื่อความมั่นคงของเรา

นี่ไง ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเธอ เป็นศาสดา เป็นแนวทาง

ดูพระ พระเป็นทางที่กว้างขวาง เวลาทำภัตกิจเสร็จแล้ว ๒๔ ชั่วโมงนะ ภาวนาทั้งวันทั้งคืนเลย เวลาครูบาอาจารย์ที่ดีๆ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งพระอานนท์ไว้ “อานนท์เธอบอกเขานะ ปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด”

การปฏิบัติบูชา การเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา คนคนนั้นจะมีโอกาสค้นคว้าหาใจของตนเจอ หน้าที่ของพระๆ งานของพระๆ ไง

ในครอบครัวของเรา ปู่ย่าตายายของเราเป็นผู้เฒ่า เป็นผู้มีประสบการณ์ ใครมีสิ่งใดมีความทุกข์ความยากขึ้นมาก็มารำพัน ปู่ย่าตายายของเราก็ปลอบประโลมไง “เราเป็นมาแล้ว เราเป็นมาแล้ว” เห็นไหม เวลาปู่ย่าตายายของท่านผ่านโลกมาก่อน

นี่ไง เวลาพ่อแม่ของเราเป็นวัยทำงาน เป็นผู้คุ้มครองดูแล เราเป็นเด็กน้อยเราก็มีการศึกษา ทำหน้าที่การงานของเรา

หน้าที่ของพระๆ หน้าที่ของพระ การประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเพื่ออะไร ศากยบุตร ศากยบุตรพุทธชิโนรสไง เวลาบวชมาแล้วเป็นสมมุติสงฆ์ เป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถ้าจิตมันสงบเข้ามาเห็นพุทธะ

เห็นพุทธะคือจิตสงบ เวลาเห็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เวลาผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนั้นน่ะเอาไปทำหน้าที่การงาน เอาไปแสวงหา เอาไปทำวิปัสสนา เอาไปชำระล้างกิเลส

ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ใช่ผู้หลับใหล กินเหล้าน่ะธรรมเมา เมาแอ๋เลยนะ “โอ๋ย! นิพพาน นิพพาน” มันเมาแอ๋เลย เมาแอ่นเลยนะ “โอ๋ย! นิพพานเป็นเช่นนี้เอง ขออีกสองขวด”

ถ้าจิตใจมันมีแต่สัญญาอารมณ์ทั้งนั้น ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ศีล ๕ ศีล ๕ นะ ศีล ๕ มันมีขอบเขตอยู่แล้ว มันไม่ไปแสวงหาสิ่งนั้นอยู่แล้ว ถ้าไม่แสวงหาสิ่งนั้นอยู่แล้ว มีการกระทำขึ้นมา เวลาถ้ามันทำความสงบใจเข้ามา นี่หน้าที่การงานของพระ หน้าที่การงานของพระ ทางที่กว้างขวางๆ เวลาคนที่จะบวชพระ เวลาบวชแล้ว บวชแล้วเราอยากจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา

เวลาเราอยู่ทางฆราวาสมีครอบครัวต้องมีหน้าที่การงานของเรา รับผิดชอบของเรา รับผิดชอบของเราเสร็จแล้ว เสร็จจากหน้าที่การงานแล้วได้สวดมนต์ ได้ภาวนา เช้าต้องรีบตื่นแล้ว สวดมนต์เสร็จแล้วรีบไปทำงานๆ ทำงานเสร็จแล้ว เวลาเหลือแล้วเล็กน้อยค่อยมาภาวนา เพราะอะไร เพราะเราต้องหาอยู่หากินไง หาอยู่หากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไง

เวลาพระเราภิกขาจารเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เวลาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพไว้ทำไม เลี้ยงชีพไว้ประพฤติปฏิบัติไง เพื่อค้นคว้าๆๆ ค้นคว้าหาหัวใจของตนไง นี่หน้าที่ของพระ

แต่เวลาพระขึ้นมา พระสังฆาธิการ เวลาเขามีวัดมีวา การบำรุงรักษา มันเป็นของของสงฆ์ๆ ไง เวลาของของสงฆ์นะ มันมีนวกรรมมีการกระทำไง

สงฆ์ในชมพูทวีป ๑๕ วันให้อาบน้ำได้หนหนึ่ง ในชนบท ถ้ามีนวกรรมคือทำข้อวัตรปฏิบัติ เวลาเหงื่อไหลไคลย้อยให้อาบได้ เวลาอาบได้ นี่ทำนวกรรม นวกรรมของเรา เราซ่อมบำรุงรักษาสิ่งที่แสวงหามา แล้วสิ่งที่เป็นวัตถุก่อสร้างนั่นหน้าที่ของคฤหัสถ์เขา

ในสมัยพุทธกาลนะ เวลานางวิสาขา อนาถบิณฑิกเศรษฐี เวลาสร้างวัดสร้างวา ท่านให้พระโมคคัลลานะไปดูแล พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ แค่ไหนก็แค่นั้น มันก็จบสิ้นกันแค่นั้น ไม่มีเล่ห์มีเหลี่ยม ไม่มีนอกมีใน หน้าที่การก่อสร้างไง

นี่พูดถึงว่า นี่งานของพระหรือ

งานของพระๆ งานของพระเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เวลาเราแสวงหา เราเป็นฆราวาสญาติโยมเราก็อิจฉานะ โอ้โฮ! พระจะสิ้นกิเลสไปหมดแล้วแหละ อู้ฮู! พระเป็นแสนเลยนะ ภาวนากันกำลังแช่มชื่น จิตใจเจริญผ่องแผ้ว ดอกบัวบานกลางหัวใจ กำลังจะสิ้นกิเลสหมดเลย

หน้าที่ของพระๆ หน้าที่ของพระก็หน้าที่ประพฤติปฏิบัตินี่ไง ถ้าหน้าที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาขวนขวายขึ้นมา

หลวงตาท่านสอนประจำ ถ้าพระไม่ทรงธรรมทรงวินัย ใครจะทรง

พระไม่ทรงศีล ทรงสมาธิ ทรงปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาที่มันฝึกหัดขึ้นมาเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา การกระทำอันนั้นน่ะเป็นหน้าที่ของพระ

ในทางที่กว้างขวาง ๒๔ ชั่วโมง เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาตลอดเวลา แต่เวลาจะไปสู้ไปปราบปรามกับกิเลส กิเลสมันก็พลิกมันก็แพลง กิเลสมันก็ขัดขาให้ล้มลง เวลาล้มลุกคลุกคลาน เห็นไหม

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านถึงบอกว่า เจริญแล้วเสื่อมๆ ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัตินะ เวลาจิตมันเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา อู้ฮู! มีความสุขๆ

เวลาพระปฏิบัติได้เวลามาบอก อู้ฮู! มีความสุขมาก

เราก็ เออ! เห็นด้วย แต่ความสุขเช่นนั้นมันจะอยู่ชั่วคราว ความสุขเช่นนั้นที่มันแสวงหาได้เพราะด้วยการทุ่มเท ทุ่มเทด้วยสติด้วยปัญญาของตนขวนขวายมีการกระทำ ความเพียรชอบ ความเพียรชอบ ความวิริยะ ความอุตสาหะ อย่างนั้นแสวงหา แสวงหาใจของตน

ทั้งๆ ที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์นะ ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เรามาเกิดเป็นคน หัวใจมันมาเกิดปฏิสนธิมาเป็นเราอยู่นี่ มันมาเกิดเป็นเราอยู่ชัดๆ อยู่นี่แหละ แต่เราก็ขวนขวายนี่ไง “ธรรมเมาๆ นิพพานเป็นเช่นนั้นเอง ขออีกสองขวด” มันก็จะหลับใหล นิพพานเป็นเช่นนั้นเอง

แต่เวลามันหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จิตมันสงบเข้าไปแล้วมันเข้าไปพบเห็นใจของตนน่ะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เวลาจิตมันตื่นตัว จิตมันเบิกบาน จิตมันแช่มชื่นน่ะ แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาเป็นหรือไม่

ยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่เป็น ไม่เป็นเพราะอะไร เพราะ “นี่มันมหัศจรรย์ นิพพานเป็นความว่าง นี่มันคือนิพพานเป็นเช่นนั้นเอง”

สัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิมันมีสติมีปัญญาของมัน มันรักษาของมัน แล้วถ้ามันน้อมไปเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง

ที่ว่า “แนวทางสติปัฏฐาน ๔ แนวทางสติปัฏฐาน ๔” นกแก้วนกขุนทองทั้งนั้นน่ะ เวลาพูดน่ะพูดถูก พูดทางทฤษฎีถูกต้องทั้งนั้นน่ะ เวลาพูดทางวิชาการใครก็พูดได้

กฎหมาย ประชากรไทยห้ามปฏิเสธว่าไม่รู้กฎหมายไทย แล้วรู้กฎหมายไหม เวลาผิดแล้วตำรวจจับ ผิดอะไรๆ อ้าว! ผิดก็มันผิดกฎหมายไง แล้วกฎหมายข้อไหน เราก็ไปต่อสู้กันในศาลไง

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสพัมมาสัมพุทธเจ้าก็กฎหมายๆ ธรรมและวินัยก็รู้ทั้งนั้นน่ะ แล้วมันเป็นจริงหรือไม่

เวลามันเป็นจริงขึ้นมานะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

วันพระ เวลาเราเป็นฆราวาสญาติโยมนะ เราก็พยายามรดน้ำพรวนดินหัวใจของเรา รดน้ำพรวนดินหัวใจของเราด้วยศรัทธา ด้วยความเชื่อ ด้วยการแสวงหา ให้จิตใจของเราชุ่มชื่น ให้จิตใจของเรามันทรงตัวอยู่ได้ ให้จิตใจของเราไม่แห้งแล้งจนเกินไปนัก ไม่ต้องทุกข์เข็ญใจนะ

เวลาทุกข์ ทุกข์หัวใจทั้งนั้นน่ะ ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ คนที่เกิดมาทุกข์ทั้งนั้น คนที่เกิดมาทั้งหมดตรากตรำด้วยความคิด ตรากตรำด้วยความแบกหาม ทุกข์ทั้งนั้น อย่ามาเถียง

เว้นไว้แต่เราก็สร้างบุญกุศล รดน้ำพรวนดิน รดน้ำพรวนดินให้หัวใจเรามีความสุขบ้าง แล้วเวลามีความสุขๆ ก็คิดว่าที่นั่นจะมีความสุข ที่นี่จะมีความสุข แสวงหา เวลาแสวงหาไปมันก็หน้าที่ของเรา หน้าที่ของฆราวาสไง แสวงหามาเพื่อดำรงชีพ แสวงหาเพื่อชาติเพื่อตระกูลของเราไง แต่แสวงหา แสวงหาเป็นสมมุติก็ใช้ชั่วคราวไง

สมบัติที่ได้มา เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเราแน่นอน สิ่งที่ได้มาต้องใช้ต้องจ่ายไปมันพลัดพรากจากเราไปแล้ว แต่ถ้ามันใช้จ่ายเก็บไว้สะสมไว้มาก เวลาเราเสียชีวิตไป เราต้องพลัดพรากจากเขา

เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาต้องพลัดพรากจากเราไปแน่นอน มันต้องมีการพลัดพรากจากกันอยู่แล้ว แต่การพลัดพรากจากกันโดยการใช้สอยเป็นประโยชน์ การพลัดพรากจากไปด้วยคนที่มีสติมีปัญญา

คนเราเกิดมามีสติมีปัญญาสามารถแสวงหาได้มาด้วยทรัพย์สมบัติของเรา ถ้าเราสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเรา เราเสียสละเจือจานเพื่อสังคม เราเสียสละเจือจานเพื่อหมู่คณะ เราเสียสละเจือจานเพื่อคนอื่น นั่นน่ะคือการเสียสละทาน

การเสียสละทาน เสียสละทานขึ้นมาเพื่ออะไร คนที่เสียสละทานได้อย่างนี้แสดงว่าจิตใจเขายิ่งใหญ่ จิตใจเขาต้องมีคุณค่ามากกว่าสิ่งที่เขาเสียสละไปได้

แก้วแหวนเงินทองเป็นของที่มีค่าทั้งนั้น ดูสิ เวลาเขาทำเจดีย์พิพิธภัณฑ์ต่างๆ เขาเสียสละทองคำเป็นกิโลๆ ทองคำมันไม่มีค่าหรือ ทำไมมึงโง่ขนาดนั้น ทองคำไม่รู้จักเก็บไว้

แต่ทองคำมันก็เป็นทองคำ ทองคำไม่มีชีวิต ทองคำมันเป็นแร่ธาตุ ทองคำมันไม่รู้ดีรู้ชั่วไปกับใครทั้งสิ้น แต่คนที่มีสติมีปัญญาเขาแสวงหาของเขามา เขาเสียสละสิ่งนี้ไปเพื่อเป็นประเพณีวัฒนธรรม เพื่อเป็นวัตถุธาตุ เป็นวัตถุ เป็นเจดีย์ในที่สามแยกสี่แยกให้คนได้เคารพบูชาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ใครได้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยสิ่งที่เราได้เสียสละวัตถุนั้นไป เราเป็นชนวน เราเป็นต้นเหตุให้เขาได้ทำคุณงามความดี เราเป็นชนวนเป็นต้นเหตุให้เขาได้ขุดได้รดน้ำพรวนดินใจของเขา ในใจของเขาได้รดน้ำพรวนดินของเขา เขาก็ได้บุญกุศลของเขาก็ตื่นตัวของเขา

แต่ของเราจิตใจที่เราเหนือกว่า เราได้เสียสละสิ่งนั้นไปเพื่อประโยชน์กับเขาๆ นี่ไง บุญไง มันเกิดจากหัวใจของตนไง นี่มันเกิดจากหัวใจของตน เพราะจิตใจมันยิ่งใหญ่มันถึงได้เสียสละสิ่งนั้นได้ไง เพราะมันมีคุณค่ามากกว่าสิ่งนั้นมันถึงทำสิ่งนี้ได้

แต่ถ้าจิตใจที่มันไม่ยิ่งใหญ่หามาเกือบเป็นเกือบตาย ของกูๆ ของกูถ้าใช้ประโยชน์ ได้เป็นประโยชน์กับชีวิตก็ยังดีนะ ดูเศรษฐีขี้เหนียวบางคน ของกูๆ ไม่กินไม่ใช้ ไม่ทำอะไรเลย แล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย หามาเก็บไว้ให้มันทำลายตัวเองนะ โตเทยยพราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์ทรัพย์สมบัติมหาศาล เวลาตายไปเกิดเป็นหมามาเฝ้าทรัพย์สมบัติของตน โตเทยยพราหมณ์ โตเทยยพราหมณ์อยู่ในพระไตรปิฎก นี่เวลาคนที่ไม่มีสติปัญญา

ถ้ามีสติปัญญานะ เราทำบุญกุศลของเรา วันพระ เราจะมารดน้ำพรวนดินหัวใจของเราให้มันแช่มชื่นให้มันแจ่มใส ทุกข์มันก็ทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา ทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา เวลาเช้าสายบ่ายเย็น เช้าพระอาทิตย์ขึ้นมันก็อบอุ่นเป็นธรรมดา พอเที่ยงวันมันก็ร้อน พอบ่ายไปมันก็คล้อยไป เวลาความทุกข์มันเกิดขึ้นมันเรื่องธรรมดา ธรรมดาเพราะอะไร

เพราะว่าคนเรามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ทุกข์ ผู้รู้ สิ่งที่ถูกรู้ คนเรา จิต ธรรมชาติของมัน มันรู้ในตัวมันเอง แต่มันจะรู้ออกมามันต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ถูกรู้คือสัญญาคือความจำ ชอบหรือชัง สิ่งที่ถูกรู้ไง ถ้ามันไปรู้ในชอบมันก็ดีใจ ไปรู้ในชังมันก็ทุกข์ใจ มันก็เหมือนเช้าสายบ่ายเย็น อาการมันเกิดขึ้น แต่ถ้ามีสติปัญญารู้เท่าทันมัน มันก็ไม่ทุกข์จนเกินไป

สิ่งที่มันมีอยู่แล้วๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ ท่านก็มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกัน แต่ท่านไม่ไปพัวพันไง ถ้าท่านไม่มีความรู้สึกนึกคิด ท่านจะจำสามเณรราหุลได้หรือ ท่านจำลูกเมียได้หมด ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านเป็นศาสดา นี่ท่านทำเป็นแบบอย่าง ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ภาระเป็นหน้าที่ ขันธ์ ๕ เป็นหน้าที่รับผิดชอบ

ไอ้ของเราเป็นขันธมาร มันเป็นมาร ความคิดเป็นมาร เป็นมาร เป็นเปรต เป็นผี เป็นความกดดันในใจ

ถ้าเรามีสติมีปัญญา เรารู้เท่าทันมันแล้วความทุกข์มันก็เบาบางลง ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะมึงยึดมั่น ทุกข์เพราะว่ามึงพอใจมึงคิดเอง ทุกข์เพราะมึงคิดของมึงไปเอง

แต่เวลาถ้ามันมีสติปัญญา เราก็คิดเหมือนกัน แต่ เฮ้ย! มันเป็นอย่างนั้นหรือ มันเป็นจริงหรือ ถึงมันเป็นจริงก็ไม่ใช่เรื่องของเรา เห็นไหม มันเบาบางลงถ้ามีสติปัญญาเท่าทันมัน นี้คือการฝึกหัดหัวใจของตน

รดน้ำพรวนดินหัวใจของเราให้เข้มแข็งขึ้นมา ถ้ามันเข้มแข็งขึ้นมาได้ คนเราไม่รู้เหนือรู้ใต้จะมาภาวนาได้อย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน เราจะภาวนาก็นี่ไง จากไปวัดไปวา วัดไปทำไม พระบวชมาตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ บวชมาทำไม เอ๊ะ! พระมีความสุขหรือ ข้าวก็กินหนเดียว อดอาหารอีกต่ากหาก พระมีความสุขหรือ

เออ! ก็มาลองดูสิ เวลามีความสุข ความสุขจากใจนี้ไง ขบฉันทุกวัน แต่มันจะฉันบ้างไม่ฉันบ้างไม่เห็นเป็นอะไร ครูบาอาจารย์เราอยู่ในป่าในเขา ถ้ามันธุดงค์ไปสามวันสี่วันถ้าไม่เจอบ้านเรือนก็ไม่เป็นไร ไปบิณฑบาตผิดเวลาเขา ไม่ได้สิ่งใดมาเลย ได้แต่ลมมาก็ไม่เป็นไร เพราะพรุ่งนี้ก็หากินใหม่ได้

เราแสวงหาของเรา ถ้ามันไม่ทุกข์ไม่ร้อนมันก็คือไม่ทุกข์ไม่ร้อน ถ้ามันจะทุกข์จะร้อนนะ อาหารท่วมหัวเลยล่ะ มันก็บอกว่าไม่สมศักดิ์ศรี พวกนี้ไม่รู้จักครูบาอาจารย์เลย ครูบาอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่มันต้องของดีกว่านี้...ทุกข์ตาย ทุกข์ตายเพราะความคิดของเขา แต่ถ้ามันเป็นครูบาอาจารย์ของเรานะ เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย เห็นไหม

ถ้าเราได้รดน้ำพรวนดินหัวใจแล้ว สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นของสมมุติ ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น หัวใจของเรายิ่งใหญ่นะ หัวใจไม่เคยตาย เพราะมันตายแล้วก็ไปเกิดใหม่ เกิดใหม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอยู่อย่างนั้นน่ะ

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา พันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของจิตก็เกิดจากตรงนี้ เกิดจากตรงที่เราเข้าใจ เราตัดแต่ง เราพัฒนามัน พันธุกรรมของจิตมันจะเจริญขึ้นดีขึ้น แล้วมันมีวาสนาขึ้น ภาวนาได้ง่ายขึ้น ภาวนาแล้วบรรลุธรรมได้ ก็ได้การสะสมบุญกุศลของตนขึ้นมา เอวัง